เลขที่อนุมัติ ฆสพ.สบส. 7542/2565

ไข้เลือดออกในเด็ก

ไข้เลือดออกในเด็ก

โรคไข้เลือดออกเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (DENV-1, DENV-2, DENV-3, และ DENV-4) การติดเชื้อจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่น ทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อมีโอกาสติดเชื้อซ้ำและมีอาการรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีพาหะคือยุงลาย (Aedes aegypti) ที่มักแพร่เชื้อในฤดูฝน แพร่เชื้อไวรัสผ่านการกัดผู้ป่วยและนำไปติดผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน โรคนี้สามารถแสดงอาการได้หลายระดับ ตั้งแต่ไม่รุนแรงจนถึงรุนแรงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับไข้เลือดออกในเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถป้องกันและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาการของไข้เลือดออกในเด็ก

ระยะฟักตัว

หลังจากถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด เชื้อไวรัสเดงกีจะเข้าสู่ร่างกายและฟักตัวเป็นเวลา 4-10 วัน ในช่วงนี้เด็กอาจยังไม่มีอาการแสดงออกมาเลย ทำให้เป็นระยะที่สังเกตได้ยากมาก แต่ไวรัสจะเริ่มเพิ่มจำนวนในร่างกายเพื่อเตรียมเข้าสู่ระยะต่อไป

อาการระยะเริ่มต้น

  1. ไข้สูงฉับพลัน เด็กจะมีไข้สูงกว่า 5-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไข้จะดำเนินอยู่เป็นเวลา 2-7 วัน โดยไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ทั่วไป
  2. ปวดศีรษะรุนแรง เด็กอาจมีอาการปวดศีรษะอย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหรือรอบเบ้าตา ซึ่งเป็นอาการที่เกิดร่วมกับโรคไข้เลือดออกอย่างเด่นชัด
  3. ปวดกล้ามเนื้อและข้อ อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย รวมถึงปวดบริเวณข้อและกระดูก เด็กอาจบ่นว่ารู้สึกเจ็บไปทั่วตัว
  4. ผื่นแดง ในบางกรณีอาจมีผื่นแดงขึ้นที่ผิวหนัง โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 2-5 ของการมีไข้ ลักษณะผื่นอาจดูเหมือนจุดแดงเล็กๆ หรือเป็นลายที่ชัดเจน

อาการที่ต้องระวัง

  1. เลือดออกผิดปกติ อาจสังเกตได้ว่ามีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล หรือแม้กระทั่งเลือดออกในอวัยวะภายใน เช่น การอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด
  2. อาการอาเจียนและปวดท้องรุนแรง เด็กที่มีภาวะช็อกจากไข้เลือดออกมักจะมีอาการอาเจียนซ้ำๆ และปวดท้องอย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา
  3. อ่อนเพลียและซึมเศร้า เด็กจะมีอาการเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาจนอนหลับมากกว่าปกติและไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างอย่างที่เคย
  4. ช็อกหรือภาวะเลือดไหลเวียนผิดปกติ ในกรณีร้ายแรง เด็กอาจเข้าสู่ภาวะช็อก ซึ่งสังเกตได้จากอาการตัวเย็น มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็วและเบา และอาจหมดสติได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันที

วิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก

1. ป้องกันยุงกัด

  • ใช้ยากันยุงที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก เช่น โลชั่นหรือสเปรย์ในปริมาณที่เหมาะสม
  • ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย เช่น เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็น
  • ใช้มุ้งลวดหรือมุ้งนอนเพื่อป้องกันยุง

2. ควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

  • กำจัดน้ำขังในภาชนะรอบบ้าน เช่น กระถางต้นไม้ ถังน้ำ หรือยางรถยนต์เก่า
  • เปลี่ยนน้ำในแจกันและถังน้ำทุกสัปดาห์
  • ใช้ทรายกำจัดลูกน้ำหรือสารเคมีที่ปลอดภัย

3. การสร้างความรู้

  • สอนเด็กเกี่ยวกับความสำคัญของการป้องกันยุงกัด
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการป้องกันและควบคุมยุงลาย

ไข้เลือดออกในเด็กเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้หากมีการดูแลและเฝ้าระวังอย่างเหมาะสม พ่อแม่และผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับการป้องกันยุงกัด การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และการเฝ้าระวังอาการในเด็กอย่างใกล้ชิด การมีความรู้และเตรียมพร้อมจะช่วยให้เด็กปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากโรคไข้เลือดออกได้ในระยะยาว